วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

น้องชายออกมาทำวง Beady eye

วิลเลียม จอห์น พอล แกลลาเกอร์ (อังกฤษWilliam John Paul Gallagher21 กันยายน พ.ศ. 2515) เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรีชาวอังกฤษ อดีตผู้นำวงดนตรีโอเอซิส และปัจจุบันเป็นผู้นำวงดนตรีบีดีอาย ด้วยพฤติกรรมคุ้มดีคุ้มร้าย สไตล์การร้องเพลงที่โดดเด่น ทัศนคติและท่าทีต่อต้านสังคม ส่งผลให้เลียมกลายเป็นประเด็นที่พูดถึงอย่างมากในหนังสือพิมพ์และข่าว ทำให้เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ดนตรีอังกฤษสมัยใหม่[1]
ถึงแม้ว่าพี่ชายของเขา โนล แกลลาเกอร์ เป็นผู้ประพันธ์เพลงให้วงโอเอซิสเป็นส่วนใหญ่ แต่เลียมก็มีโอกาสแต่งเพลง "Songbird" และ "I'm Outta Time" เป็น ซิงเกิ้ลของวงด้วย ตั้งแต่โนล แกลลาเกอร์ได้ลาออกจากวงในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 เลียมยังคงทำผลงานเพลงต่อไปโดยก่อตั้งวงดนตรีร่วมกับอดีตสมาชิกวงโอเอซิส คือ เก็ม อาร์เชอร์แอนดี เบลคริส ชาร์ร็อก[2] ด้วยชื่อวงใหม่ "บีดีอาย"[3]

ประวัติ

เลียม แกลลาเกอร์เกิดที่ย่านเบอร์นิจ เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นลูกคนที่สามและเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวชาวไอริช บิดาชื่อ ทอมัส แกลลาเกอร์ และมารดาชื่อเป็กกี้ แกลลาเกอร์ บิดาของแกลลาเกอร์ได้ใช้ความรุนแรงต่อครอบครัวอยู่บ่อยครั้ง โดยโนลพี่ชายของเขาถูกกระทำหนักที่สุด เลียมได้กล่าวว่าการทารุณกรรมของพ่อเป็นแรงผลักดันให้เขาอยากเป็นศิลปิน[4] เมื่อเลียมอายุ 10 ปี เป็กกี้มารดาของเลียมพาลูกของเธอหนีจากสามี แม้ว่าเลียมยังคงติดต่อเป็นระยะ ๆ กับบิดาในช่วงวัยรุ่น แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อยังคงไม่ลงรอยกันจนถึงปัจจุบัน
พอล พี่ชายของเลียม และโนลยังยืนยันอีกว่า เลียมในช่วงวัยรุ่นมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คน โดยเฉพาะกับโนลพี่ชายของเขาเพราะทั้งสองนอนห้องเดียวกัน เลียมถูกไล่ออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ 15 ปี เพราะไปมีเรื่องทะเลาะวิวาท โนลกล่าวว่า เลียมเริ่มแสดงความสนใจในด้านดนตรีในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เขามั่นใจในความสามารถในการร้องของตนเองเป็นอย่างมาก และเริ่มฟังวงดนตรีดัง ๆ ในสมัยนั้น เช่น เดอะสโตนโรสเซสเดอะฮูเดอะคิงส์เดอะแจมที. เรกซ์ โดยเฉพาะวง เดอะบีเทิลส์ เลียมคลั่งไคล้จอห์น เลนนอนเป็นอย่างมาก แกลลาเกอร์ยืนยันอีกว่าเขาคือ เลนนอน ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ แม้ว่าแกลลาเกอร์จะถือกำเนิดมาแล้ว 8 ปี ก่อนที่เลนนอนจะถูกฆาตกรรมก็ตาม
แกลลาเกอร์ยังเป็นแฟนคลับตัวยงของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี อีกด้วย [5]


ชีวิตส่วนตัว

แกลลาเกอร์แต่งงานกับ แพทซี เคนซิท ดาราและนางแบบชาวอังกฤษ เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2543 มีบุตรชายด้วยกันคนเดียว เลนนอน ฟรานซิส แกลลาเกอร์ กำเนิดเมื่อปี พ.ศ. 2542 1 ปีหลังจากนั้น แพทซีและแกลลาเกอร์ก็หย่าร้างกัน
แกลลาเกอร์ให้กำเนิดบุตรคนที่สองกับ นิโคล แอปเพิลตัน โดยเป็นบุตรชายชื่อว่า ยีน แกลลาเกอร์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2551 แกลลาเกอร์และแอปเพิลตั้นก็แต่งงานกัน โดยที่ โนล แกลลาเกอร์และสมาชิกของวง โอเอซิส ไม่มีใครรู้เลยจนกระทั่งพิธีวิวาห์ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ความสัมพันธ์ของสองพี่น้อง

- เลียมกล่าวว่า เขาไม่ค่อยได้พูดคุยกับพี่ชายมากนักแทบที่จะไม่สนิทชิดเชื้อกันเลย ระหว่างทัวร์ครั้งสุดท้ายเขาและพี่ชายพูดคุยกันซึ่งๆหน้าเฉพาะตอนอยู่บนเวทีเท่านั้น
- ระหว่างทีไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2537 เลียมได้เปลี่ยนแปลงเนื้อร้องของเพลงโดยเจตนา เพื่อที่จะว่าร้ายทั้ง คนอเมริกา และโนล หลังการแสดงจบสองพี่น้องทะเลาะวิวาทถึงขั้นการปาเก้าอี้ใส่กัน โนลได้ถอนตัวออกจากทัวร์ในภายหลัง
- ระหว่างการบันทึกเสียงอัลบั้ม "(What's the Story) Morning Glory?" สองพี่น้องทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง เนื่องจากเลียมได้เชิญชวนทุกคนในผับท้องถิ่นมาที่สตูดิโอบันทึกเสียงของทางวงโดยตอนนั้นโนลกำลังทำงานอยู่
- ในปี พ.ศ. 2552 ก่อนที่ โอเอซิส จะยุบวง โนลได้บรรยายลักษณะของเลียมไว้ว่า "หยาบคาย หยิ่งยโส อันธพาลและขี้เกียจ เขาเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจที่สุดที่ผมเคยพบ เขาก็เหมือนกับส้อมในโลกของซุป"
ฟางเส้นสุดท้ายระหว่างเลียมและโนลก็มาถึง เมื่อวงได้ไปแสดงคอนเสิร์ตที่ปารีส เนื่องด้วยความบาดหมางของทั้งสองคนที่มีอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่คอนเสิร์ทจะเริ่ม ทั้งสองทะเลาะวิวาทกันอีกครั้ง เลียมบันดาลโทสะทำลาย กีต้าร์ ของโนล เป็นเหตุให้โนลประกาศแยกตัวจากวง โอเอซิส ในที่สุด
- ในปี พ.ศ. 2555 สามปีหลังจากที่แทบจะไม่ได้สื่อสารกับพี่ชายเลย มีการเปิดเผยว่าทั้งสองคนได้สื่อสารกันผ่านข้อความทางโทรศัพท์อย่างเป็นมิตร หลังจากที่ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี ชนะพรีเมียร์ลีก แหล่งข่าววงในของสองพี่น้องกล่าวอีกว่า "ทั้งสองคนตื่นเต้นและมีความสุขมากๆ หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ซิตีชนะ พวกเขาส่งข้อความทางโทรศัพท์ถึงกันและกันในที่สุดพวกเขาก็ลดความบาดหมางระหว่างกันและเริ่มติดต่อกันบ้างผ่านข้อความทางโทรศัพท์" หลังจากนั้นทั้งสองคนก็มาร่วมงานปาร์ตี้ของเพื่อนที่กรุง ลอนดอน ตามคำบอกเล่าของโนล ตอนแรกปาร์ตี้เป็นไปได้ด้วยดีแต่ก็จบลงด้วยการเถียงกันของทั้งคู่ เพราะโนลปฏิเสธที่จะรวมวง โอเอซิส ใหม่ภายในปี พ.ศ. 2558[6]
- สำหรับความสัมพันธ์ในทางที่ดีของเขากับโนล เขาก็เคยแสดงความเป็นมิตรกับพี่ชาย เมื่อถูกสื่อถามว่า "ใครเป็นผู้นำวงที่ดีที่สุด" เขาตอบว่า "โนล กัลลเกอร์ไง อะไรคือคุณสมบัติของผู้นำวงที่ดีนะเหรอ? ก็คนที่ประพฤติตัวดีและไม่โดดโหยงเหยงไปมาเหมือนคนบ้าไง" 

วงดนตรี

โอเอซิส (1991–2009)

ดูบทความหลักที่: โอเอซิส (วงดนตรี)

บีดีอาย (2009–ปัจจุบัน)

ดูบทความหลักที่: บีดีอาย

ผลงานเพลง

ดูเพิ่มเติมที่: โอเอซิส (วงดนตรี) และ บีดีอาย


หลังจากแยกทาง OASIS พี่ชาย Noel Gallagher


โนล ทอมัส เดวิด แกลลาเกอร์ (อังกฤษNoel Thomas David Gallagher29 เมษายน พ.ศ. 2510) เป็น นักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรีชาวอังกฤษ อดีตนักกีตาร์และนักแต่งเพลงของวงโอเอซิส และเป็นพี่ชายของเลียม แกลลาเกอร์ แห่งวง OASIS


วงดนตรี

โอเอซิส (1991–2009)





โนลแกลลาเกอส์ไฮฟลายอิงเบิดส์ (2010–ปัจจุบัน)






อัลบั้ม

ผลงานร่วมกับศิลปินอื่น

ปีซิงเกิลอันดับสูงสุดในชาร์ทอัลบั้ม
UK
1995"Come Together"
(เดอะสโม้คกินโมโจฟิลเตอร์ส)
19The Help Album
1996"Setting Sun"
(เดอะเคมิคอลบราเทอร์ส ร่วมกับ โนล แกลลาเกอร์)
1Dig Your Own Hole
1998"Temper Temper"
(โกลด์ดี ร่วมกับ โนล แกลลาเกอร์)
13Saturnzreturn
1998"Let Forever Be"
(เดอะเคมิคอลบราเทอร์ส ร่วมกับ โนล แกลลาเกอร์)
9Surrender
1998"All I Want To Do Is Rock" (Live Version)
(ทราวิส ร่วมกับ โนล แกลลาเกอร์)
16More Than Us E.P.
2004"Keep What Ya Got"
(เอียน บราวน์ ร่วมกับ โนล แกลลาเกอร์)
18Solarized

วงดนตรีในยุค 1990



โอเอซิส (Oasis) เป็นวงดนตรีร็อกจาก แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ นำโดย 2 พี่น้อง โนล กัลลาเกอร์ (มือกีตาร์,นักแต่งเพลง) และน้องชาย เลียม กัลลาเกอร์ (นักร้อง) ทั้งคู่มาจาก เบอร์นิจ เมืองชนบทของแมนเชสเตอร์ ปัจจุบันวงโอเอซิสแยกวงไปในปี 2009 เนื่องจากการขัดแย้งกันของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ ปัจจุบัน โนล กัลลาเกอร์ แยกตัวออกไปทำวง Noel Gallagher's High Flying Birds ในขณะที่สมาชิกที่เหลือเปลี่ยนชื่อวงเป็นวง Beady Eye โดยปัจจุบัน Oasis ทำยอดขายรวมอัลบั้ม ซิงเกิ้ล บ๊อกเซตต่างๆทั่วโลกไปได้แล้วกว่า 70 ล้านแผ่น และมีซิงเกิ้ลที่ขึ้นอันดับหนึ่งในอังกฤษได้มากถึง 8 เพลง

ยุคแรกเริ่ม


แรกเริ่มเดิมทีเพื่อน ๆ ของเลียมที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน คือ พอล "โบนเฮด" อาร์เธอร์ส (มือกีตาร์) , พอล แม็คเกวียน (มือเบส) , และโทนี่ แม็คแครอล (มือกลอง) ตั้งวงดนตรีอยู่แล้วชื่อ Rain เลียม เข้าวงมาทีหลังเมื่อปี 1990 ในฐานะนักร้องนำ พอเข้าวง เลียมก็แนะให้เปลี่ยนชื่อวงเป็น โอเอซิส ตามชื่อเวนิว Oasis Leisure Centre ในเมืองสวินดอน จากในโปสเตอร์โฆษณาคอนเสิร์ตของวง Inspiral Carpets ที่ติดอยู่ในห้องนอนเขา จนกระทั่งวันหนึ่ง โนล กลับมาบ้านในแมนเชสเตอร์ หลังจากไปทำงานอยู่กับวง Inspiral Carpets อยู่หลายปีในฐานะกีตาร์ เทคนิเชี่ยน เลียมก็ชวนเขามาเป็นผู้จัดการวง จนกระทั่งวง Inspiral Carpets ปลดทีมงานออกหมด ตอนปี 1991 เขาจึงชวนมาเป็นมือกีตาร์ให้ ไม่ใช่ผู้จัดการ
โอเอซิส ขึ้นเวทีครั้งแรกที่บอร์ดวอล์คในแมนเชสเตอร์ เดือนตุลาคมปี 1991 แรกๆโนลไม่ได้จริงจังกับทางวงเท่าไร จนมีวันหนึ่งต้องไปหาหมอ ซึ่งหมอสั่งให้เลิก สูบกัญชา พอเลิกสูบสมองโล่ง จึงได้มีความคิดในการแต่งเพลง ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Columbia , Rock 'N Roll Stars , Whatever ฯลฯ
31 พฤษภาคม 1993 โนล ได้ข่าวว่า อลัน แม็คกี ที่ตอนนั้นเป็น ประธานบริษัทแผ่นเสียง Creation Records จะไปดู คอนเสิร์ตที่ คิง ทุตส์ ไนท์คลับในกลาสโกว์ในคืนนั้น เขาพา โอเอซิส กับลูกทีมรวม 17 คน ขึ้นเวทีที่นั่นโดยที่ไม่มีการจองคิวล่วงหน้า กับโปรโมเตอร์ ซึ่งโปรโมเตอร์ที่มีบอดี้การ์ดอยู่แค่ 2 คนเลยจำใจยอมให้ โอเอซิสขึ้นเวทีครึ่งชั่วโมง อลัน ประทับใจในการเล่นครั้งนี้ จึงให้โอเอซิส มาเซ็นสัญญา ทันทีด้วยสนนราคา 60,000 ปอนด์

ยุคโด่งดังไปทั่วโลก

11 เมษายน 1994 Oasis มีซิงเกิลแรก Supersonic ที่ออกมาดีเป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์ทันที ถึงแม้ว่า 2 พี่น้องกัลลาเกอร์จะชอบให้สัมภาษณ์ในลักษณะโอ้อวดก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพวกเขาพูดทับถมศิลปินรายอื่นมากเท่าไหน โอเอซิส ก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่รู้จักมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ซิงเกิลที่ 2 เช่นเพลง Shakermaker ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี ซิงเกิลที่ 3 Live Forever ออกตามมาก่อนอัลบั้มแรกวางแผง 1 เดือน เป็นเพลงฮิตในอังกฤษได้อีกเหมือนเดิม เมื่อ Definitely Maybe อัลบั้มแรกของพวกเขาออกขายเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 1994 ก็ขึ้นสู่ชาร์ทอันดับ 1 ทันทีและกลายเป็นอัลบั้มแรกของศิลปินหน้าใหม่ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเพลงของอังกฤษ ค้างคาอยู่ใน Top 20 ถึง 18 เดือน เขย่าวงการเพลงร็อกอังกฤษอย่างที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน ซิงเกิลเดี่ยว Whatever ที่ไม่ได้นำมารวมในอัลบั้มชุดไหนเลย ของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 3 ในอังกฤษช่วงคริสต์มาสปี 1994 เป็นการส่งท้ายปีไปอย่างสวยงาม ในปีนั้นเองก็ได้เกิดปรากฏการณ์ของความคลั่ง ไคล้ Oasis กันขนานใหญ่ที่อังกฤษอย่างที่ไม่เคยมีวงไหนทำได้มาก่อน
ปี 1995 เริ่มต้นปีด้วยความสำเร็จ โอเอซิส ได้รับรางวัล Best Band, Best New Band และ Best Single (จากเพลง "Live Forever") จาก NME Brat Awards ตามมาด้วยการคว้ารางวัลสำคัญ Best Newcomer จาก BRIT Award ในเดือนต่อมา พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากการทัวร์คอนเสิร์ต บัตรถูกขายหมดเกลี้ยงในทุกโชว์ในอังกฤษ วงจึงได้หันไปเน้นโปรโมตในตลาดอเมริกา และกลายเป็นขวัญใจ MTV และสถานีวิทยุโมเดิร์นร็อกของอเมริกา มีเพลงฮิตอย่าง Live Forever กับ Supersonic ในที่สุดอัลบั้ม Definitely Maybe ก็ได้แผ่นเสียงทองคำในสหรัฐ โอเอซิส ประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับความสัมพันธ์ ของสมาชิกในวง โดยเฉพาะ 2 พี่น้อง โนลไม่พอใจที่เลียมชอบเดินออกจากเวทีคอนเสิร์ตไปเฉยๆ ถ้าเกิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมา มีครั้งหนึ่งหลังจากที่โนลเพิ่งแต่งเพลง Don't Look Back In Anger กับ Wonderwall เสร็จใหม่ๆ โนลบอกว่าเลียมมีสิทธิร้องแค่เพลงเดียว อีกเพลงเขาจะร้องเอง เลียมฟังแล้วอารมณ์เสียมากถึงกับทำลายข้าวของ(เลียมเลือกร้อง Wonderwall)
14 เมษายน 1995 ก่อนหน้าซิงเกิล Some Might Say ออกขาย 1 วัน โทนี่ แม็คแครอล มือกลองก็ถูกไล่ออกจากวง หลังจากแตกคอกับ เลียม ในบาร์ที่ปารีส อลัน ไวท์เข้ามาแทนที่ ในวันที่ 4 พฤษภาคม 1995 เพลง Some Might Say กลายเป็นซิงเกิลอันดับ 1 ในอังกฤษเพลงแรกของ โอเอซิส ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขาย ความสำเร็จของเพลงนี้สร้างปรากฏการณ์ทำให้ทุกซิงเกิลก่อนหน้านี้ย้อนกลับเข้าอันดับในชาร์ทเพลงอินดี้ของอังกฤษอีกครั้ง เดือนตุลาคมปีเดียวกัน Oasis ออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อ (What's The Story) Morning Glory? หลังจากใช้เวลาบันทึกเสียงแค่12วันเท่านั้น ขึ้นถึงอันดับ 1 ทันทีที่ออกจำหน่ายในอังกฤษและกลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้เร็วที่สุดในอังกฤษ นับตั้งแต่อัลบั้ม Bad ของ ไมเคิล แจ็คสัน เคยทำไว้ในปี 1987 ว่ากันว่าในช่วงสัปดาห์แรกที่ออกขายจะมีคนซื้ออัลบั้มชุดนี้ 1 คนทุก ๆ 30 วินาที
ปี 1996 โอเอซิส ประสบความสำเร็จอย่างสูง อัลบั้ม (What's The Story) Morning Glory? ของพวกเขาขายได้ถึง 22 ล้านแผ่น มีผลงาน Top 10 ทั้งในยุโรปและเอเชีย ในเดือนสิงหาคม 5% ของคนทั้งเกาะอังกฤษ (250,000 คน) เข้าคิวยาวควัก กระเป๋าซื้อบัตรคอนเสิร์ตราคา 22 ปอนด์ครึ่ง เพื่อมาดู โอเอซิส ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตกลางแจ้ง 2 รอบที่ Knebworth ทำสถิติเป็นคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ว่ากันว่ามี ผู้ต้องการจับจองตั๋วมากกว่า 2 ล้านคน นอกจากนี้วงยังได้รับการเสนอชื่อรางวัล BRIT Award ถึง 4 รางวัล และกวาดไปได้ 3 รางวัล นั่นคือ Best Band, Best Album (จากอัลบั้ม What's the Story) Morning Glory) และ Best Video (จากเพลง Wonderwall) เดือนเมษายนปีนั้น Oasis ได้ขึ้นปกนิตยสารดังอย่าง Rolling Stone ของอเมริกา ซึ่งเป็นการบอกให้โลกได้รับรู้ว่าพวกเขามาแล้ว แต่ Oasis ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในอเมริกา ทั้งที่สามารถคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำขาวถึง 5 แผ่น ซิงเกิล Wonderwall ก็ขึ้นไปถึง Top 10 อาจเป็นเพราะคนอเมริกันไม่นิยมนิสัย Bad Boy ของ Oasis ไม่ว่าจะเป็นอาการถุยน้ำลายของเลียมบนเวทีงานแจกรางวัล MTV ที่นิวยอร์กในเดือนกันยายน 1996 หรือการขว้างขวดเบียร์ใส่คนดู ซึ่งก็ของเลียมอีกเหมือนกัน นอกจากนี้ 2 พี่น้องยังตกเป็นข่าวซุบซิบตามหน้าหนังสือประจำ โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ โอเอซิส ถอนตัวจากการทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกาในวันที่ 13 กันยายน 1996 อย่างกะทันหัน ก่อนขึ้นเวทีแค่ 3 ชั่วโมงเมื่อโนลเป็นฝ่ายเดินออกจากคอนเสิร์ตเองบ้าง ทั้งที่มีแฟนเพลงรอดูอยู่กว่า 5,000 คนที่ชาร์ลอต ฮอร์เน็ทส์ เทรนนิง เซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นปีนั้นเอง Oasis กลายเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษและของโลก สมกับ ตำแหน่งวงดนตรีร็อกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและถูกยกให้เป็น เดอะ บีทเทิลส์ ของยุค 90
หลังจากงดทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกาและ โนล ยอมกลับมา เข้าวง ตามเดิม โอเอซิส ก็เริ่มบันทึกเสียงอัลบั้มที่ 3 ที่ใช้เวลานานหลายเดือน 1997 เป็นปีที่ 2 พี่น้องสละโสด เลียมเข้าพิธีกับดาราสาว แพ็ทซี่ เคนสิท ในวันเอพริล ฟูลส์ เดย์ ส่วนโนลตัดสินใจแต่งงานกับเม็ก แม็ทธิวส์ที่ลาส เวกัสอย่างเงียบๆ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน หลังจาก นั้นซิงเกิล D'You Know What I Mean ของ โอเอซิส ก็วางแผงใน เดือนกรกฎาคม ตามมาด้วยอัลบั้ม Be Here Now วันที่ 21 สิงหาคม 1997 ทำยอดขายเฉียด 7แสนแผ่นที่อังกฤษภายในเวลา 3 วัน ทำลายสถิติยอดขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ในช่วงแรกอัลบั้มชุดนี้มาแรงมากเนื่องจากอยู่ท่ามกลางความคาดหวังต่างๆ แต่ในเวลาต่อมาไม่นาน ตัวอัลบั้มก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว สื่อมวลชนอ้างว่าขาดความน่าสนใจและดูไร้ความกระตือรือร้น ถึงแม้ว่าจะมีซิงเกิลฮิตในเวลาต่อๆมาอย่าง Stand by me และ All around the world ก็ตาม ก่อนหน้าที่จะออกอัลบั้มชุดนี้ โนล ให้พอล เวลเลอร์ลองฟัง เขาเป็นคนเดียวที่กล้าบอกโนลตรงๆว่าฟังแล้วไม่เข้าหูเอาซะเลยและเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความตกต่ำของ โอเอซิส ในเวลาต่อมา
The Masterplan อัลบั้มรวมเพลงหน้า B ตามออกมาในเดือนพฤศจิกายนปี 1998 ประกอบไปด้วยเพลงB-Sideเด็ดๆที่ดีกว่าหลายเพลงอัลบั้มต่อมา เช่น The Masterplan , Acquiesce , Half the world away ,Rockin' Chair ฯลฯ ในปีถัดไปสมาชิกดั้งเดิมของ โอเอซิส เหลืออยู่แค่ 2 คนคือ โนล และ เลียม ถ้าไม่นับ Alan White ซึ่งเข้าร่วมวงในยุค Morning Glory

ยุคเปลี่ยนแปลง

9 สิงหาคม1999 ระหว่าง บันทึกเสียงอัลบั้มชุดที่4 โบนเฮ้ด ก็ออกจาก Oasis โดยให้เหตุผลว่าอยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ตามมาด้วย พอล แมกเกวียนในวันที่ 26 สิงหาคม 1999 แต่ 2 พี่น้องก็มีสมาชิกใหม่ มาเสริมบารมีเป็นถึง แอนดี้ เบลล์ อดีตมือกีตาร์ของคณะ Ride ที่มาเข้าวงเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 1999 แต่มาเล่นเบสให้ Oasis ส่วนมือกีตาร์ได้ เก็ม อาร์เชอร์ อดีต Heavey Stereo มาแทน ปลายปี อลัน แม็คกี ผู้คนพบ Oasis ลาออกจากตำแหน่งประธาน Creation Records ต้นสังกัดของ Oasis เพื่อตั้งสังกัดใหม่
5 มกราคม 2000 โอเอซิส ตั้งบริษัทแผ่นเสียงของตัวเอง Big Brother อัลบั้มแรกในสังกัดคือ Standing On The Shoulder Of Giants อัลบั้มชุดที่ 4 ของ Oasis วางขายเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษได้เช่นเคย พร้อมกับซิงเกิลฮิตอย่าง Go let it out! ถึงจะเป็นงานที่ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบ เต็มไปด้วยซาวนด์เอฟเฟกต์และไซคีเดลิกต่างจากสมัยรุ่งโรจน์ก็ตาม แต่เลียมโชว์ฝีมือการแต่งเพลงครั้งแรกในเพลง Little James เขาแต่งให้ เจมส์ ลูกชายของ แพ็ตซี่ ภรรยาของเขา
โอเอซิสออกทัวร์ยุโรปท่ามกลางกระแสข่าวว่า 2 พี่น้อง ไม่กินเส้นกันหนักข้อขึ้นทุกวันจนกระทั่งในวันที่ 24 พฤษภาคม โนล เอือมพฤติกรรมน้องชายมากจนกระทั่งมีเรื่องชกต่อยกับเลียม เนื่องจากเลียมพูดจาว่าร้ายลูกสาวของเขา ถึงกับทิ้งการทัวร์ที่ Barcelona มากลางคันและประกาศว่าจะไม่ออกทัวร์นอกเกาะอังกฤษอีกต่อไป โอเอซิส ตกอยู่ในภาวะวิกฤติถึงขั้น 2 พี่น้องไม่ยอมให้สัมภาษณ์ร่วมกัน จนหลายคนเกรงว่าจะถึงกาลอวสาน วงจึงได้ออกอัลบั้มแสดงสด Familiar To Millions ซึ่งเป็นบันทึกการแสดงสดที่ Wembley Stadium ต่อหน้าคนดูกว่า70000 คน มาขัดตาทัพในเดือนพฤศจิกายน สามารถไต่ขึ้น #5 ที่อังกฤษ จากนั้น โนล ก็ตั้ง สังกัดแผ่นเสียง ของตัวเองขึ้นมาอีกเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2001แต่สถานการณ์ก็คลี่คลายขึ้นในที่สุดหลังจากที่ โนล และ เลียม ต่างก็หย่ากับภรรยาของตัวเอง ข่าวว่าภรรยาของทั้งคู่ต่างก็ไม่ชอบขี้หน้าซึ่งกันและกัน แถมยังไม่ชอบพี่น้องของสามีตัวเองด้วย
2 พี่น้องหันหน้ามาคืนดีกันเหมือนเดิม 15 เมษายน 2002 Oasis ออกซิงเกิลแรกในรอบเกือบ 2 ปี The Hindu Times เป็นการย้อนกลับไปหาซาวด์เก่าๆสมัยอัลบั้มแรก ขึ้นถึงอันดับที่ 1 ทันทีในอังกฤษ ซิงเกิลที่ 2 เป็นเพลงบัลลาดช้า ๆ Stop crying your heart out ปลายเดือนมิถุนายนกลายเป็นเพลงปลอบขวัญแฟนฟุตบอลอังกฤษที่พลาดแชมป์ เวิร์ลด์คัพ
ช่วงครึ่งหลังของปี 2002 โอเอซิสมีคิวทัวร์ยาวทั้งปี โนล ยอมกลืนน้ำลายตัวเองออกทัวร์อเมริกากับ โอเอซิสเริ่มที่ปอมปาโน่ บีชในฟลอริดา วันที่ 2 สิงหาคม 2002 จากนั้นจะกลับมาเล่น คอนเสิร์ตที่แมนเชสเตอร์บ้านเกิด 2 รอบกลางเดือนกันยายน ต่อด้วยทัวร์ที่ญี่ปุ่นแล้วย้อนกลับไปอเมริกาอีกครั้งกับที่เม็กซิโก การแสดงครั้งสำคัญอยู่ที่คอนเสิร์ต3คืนที่ Finsbury Parkกลางกรุงลอนดอนซึ่งเรียกศรัทธาแฟนเพลงกลับมาได้จำนวนมาก ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนได้เกิดเรื่องราวขึ้น เมื่อเลียมได้ไปมีเรื่องชกต่อยกับนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลในผับแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมันเป็นผลให้ฟันของเลียมหักไป2ซี่ และสมาชิกวงทุกคนโดนปรับ ในขณะที่โนลและแอนดี้ ประสบอุบัติเหตุรถชนในปีเดียวกันนั้นแต่ปลอดภัยทั้งสองคน

ยุคฟื้นคืนชีพ

ในช่วงต้นปี 2004 โอเอซิสได้เริ่มทำอัลบั้มใหม่และอัลบั้มพิเศษ ซึ่งมีกำหนดออกวางแผงในเดือนกันยายน แต่ก่อนหน้านั้นมือกลองผู้ที่อยู่กับวงมายาวนาน Alan White ได้ออกจากวง ทำให้ต้องเรียกมือกลองไฟแรง Zak Starkey มาอัดเสียงแทน ซึ่งเป็นลูกชายของ Ringo Starr มือกลองวงเดอะ บีทเทิลส์ แต่เนื่องจากทางวงไม่ได้ประกาศตัวเขาเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัว ทำให้เขาแทบจะไม่ได้ปรากฏตัวในงานหรือบทสัมภาษณ์ ต่างๆ การแสดงครั้งสำคัญของวงปีนี้เกิดขึ้นที่เทศกาลดนตรี Glastonbury 2004 โดยแสดงเป็นวงเฮดไลน์ที่เวทีPyramidท่ามกลางคนดูกว่าหกหมื่นคน แต่การแสดงครั้งนั้นได้รับคำวิจารณ์ทางลบพอสมควร เนื่องจากสมาชิกแต่ละคนในวงซึ่งดูไม่มีอารมณ์ร่วมในการแสดงเอาเสียเลย
กันยายน 2004 โอเอซิส ได้เปิดตัว Definitely Maybe: The DVD commemorating the10th anniversary ซึ่งเป็นดีวีดีฉลองครบรอบ10ปีของอัลบั้ม Definitely Maybe ต่อมาในเดือน พฤษภาคมปี 2005 นับเป็นปีทอง Oasis ได้วางแผงอัลบั้มที่6ของพวกเขา Don't Believe the Truth ซึ่งนับว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ (What's The Story) Morning Glory? จนสื่อมวลชนอังกฤษ พากันขนานนามว่า Return to Form ด้วยซาวนด์ดิบๆในรูปแบบแปลกใหม่ ประกอบไปด้วยเพลงซิงเกิลฮิตอย่าง Lyla ,The Importance of Being Idle และ Let there be love อันดับ 1และ2 ใน Uk Chart ตามลำดับ หลังจาก นั้น Oasisได้ออกเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตครั้งใหญ่รอบโลก เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2005 ที่ลอนดอนและจบลงที่เม็กซิโกเมื่อมีนาคม 2006 รวมเดินทางทั้งหมด26ประเทศทั่วโลกรวมไปถึงประเทศไทยด้วย ตามมาติดๆด้วยการคว้ารางวัล Q Awards 2005 ในสาขา Best New Album และ People's Choice นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2005 วงยังได้แต่งเพลง Who Put The Weight Of The World On My Shoulders เพื่อเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Goal! อีกด้วย
ปี 2006 มีกระแสข่าวมากมายถึงอัลบั้มรวมฮิต แม้กระทั่งข่าวลือเกี่ยวกับหนังของพวกเขา และได้มีการออกมายืนยันในภายหลัง หนังเรื่อง Lord Don't Slow Me Down ซึ่งเป็นหนังสารคดีกึ่งชีวประวัติของวง เป็นที่จับตามองของแฟนๆทั่งโลก และอัลบั้มรวมฮิต Stop the Clocks ที่เป็นอัลบั้มรวมเพลงที่ดีที่สุดจำนวน 18 เพลง จากผลงานทั้ง 12 ปี จากการคัดเลือกของโนล นับว่าเป็นอัลบั้มที่น่าสะสมเป็นอย่างมาก ปลายปี โนลและเก็มได้ออกมินิทัวร์อคุสติกเพื่อโปรโมตอัลบั้มในหลายๆที่ทั่วโลก
ปี 2007 โอเอซิส ขึ้นรับรางวัล Brit Award ในสาขา oustanding contribution to music หรือ วงที่สร้างสรรค์คุนุปการแก่วงการดนตรี พร้อมขึ้นทำการแสดงสดเรียกน้ำย่อย มีข่าวลือเรื่องความบาดหมางระหว่างเลียมกับโนลซึ่งไม่พอใจกับการร้องในคืนงานบริท อย่างไรก็ดีสตูดิโออัลบั้มหน้าจะเป็นตัววัดจุดยืนของวง โอเอซิส อีกครั้งหนึ่งและมีกำหนดการอย่างเร็วที่สุดในสิ้นปี ในขณะที่โนลยังเดินสายเล่นอคุสติกต่อไป
กลางปี โอเอซิส ได้เป็นส่วนหนึ่งของการนำอัลบั้มตำนานของเต่าทองอย่าง Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band มาคัฟเวอร์เรียบเรียงใหม่ ท่ามกลางข่าวลือเรื่องการแสดงคอนเสิร์ตต่างๆมากมาย ในที่สุด แฟนๆก็ไม่ผิดหวัง เมื่อทางวงประกาศถึงการเข้าทำงานในสตูดิโออัลบั้มใหม่ ซึ่งจะเป็นอัลบั้มที่ 7 และยังประกาศการวางจำหน่ายของ DVD แผ่นคู่ใหม่ล่าสุด ซึ่งจะเป็นการนำสารคดีที่ฉายทั่วโลกเมื่อปีก่อนอย่าง Lord Don't Slow Me Down แบบสมบูรณ์มาจำหน่าย พร้อมด้วยโชว์การแสดงของพวกเขาที่สนาม City of Manchester Stadium เมื่อปี 2005 ซึ่งจะมีกำหนดการวางจำหน่ายในปลายปี สร้างความยินดีปรีดาแก่แฟนๆและสาวกเป็นจำนวนมากที่ต่างรอคอยกันมานาน

ยุคล่มสลาย

ปี 2008 โอเอซิสวางแผนอัลบั้มที่ 7 ของพวกเขาในชื่อ Dig Out Your Soul โดยมีซิงเกิ้ลแรกคือ The Shock Of Lightning ตามมาด้วย Falling Down และ I'm Outta Time
ในการทัวร์ของอัลบั้ม Dig Out Your Soul ในเดือนสิงหาคม ปี 2009 ที่ปารีส ได้เกิดการปะทะมีปากเสียงระหว่างสองพี่น้องแกเลเกอร์ที่หลังเวที โดยมีรายงานว่าเลียมถึงกับทุ่มกีต้าร์ของโนลด้วย ซึ่งผู้จัดการวงได้ออกมายกเลิกการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้นและขอโทษผู้ชมที่มารอดูเป็นจำนวนมาก รวมถึงการประกาศยกเลิกการทัวร์ยุโรปทั้งหมด ซึ่งหลังจากนั้นสองชั่วโมง โนลได้ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของวงว่า เขาได้ลาออกจากโอเอซิสแล้ว เพราะเขาไม่สามารถทำงานร่วมกับเลียมได้อีกต่อไป และกล่าวขอโทษต่อแฟนๆของโอเอซิส ซึ่งนับว่าเป็นจุดจบของวงร็อคมหาอำนาจแห่งเกาะอังกฤษที่มาประวัติยาวนานกว่า 15 ปี